3 Idiots Feb29

Tags

Related Posts

Share This

3 Idiots

Font Size » Large | Small


<

หนังอินดี้เมืองแขกที่เคยถล่ม Box Office มาแล้ว

“ถ้าคุณไม่มีปริญญา คุณก็ไม่มีงานดีๆ

….ไม่มีภรรยาดีๆ….ไม่มีเครดิตการ์ด…ไร้ตัวตนในสังคม….?”

<

หนังอินดี้สุดดังแห่งปี2009 ….หนัง3 Idiots ที่นักวิจารณ์ทั่วโลกชมเป็นเสียงเดียวกัน imdb อวยให้ 8.3/10 ….  Yahooให้เกรด A …การันตีด้วย37รางวัล จากหลายสถาบัน ตอนเข้าฉายนี่ถล่มbox officeเป็นประวัติศาสตร์ชาติbollywoodเลยทีเดียว กวาดรายได้ไปเกือบ 85ล้านบาท ข่าวว่าHollywoodซื้อไปรีเมค, โจวซิงฉือก็เอาไปรีเมค…….หนังเค้าดีจริง เค้าไม่วิ่งข้ามภูเขากันแล้ว …ก็…แอบเต้นอยู่นิดนึง

 ขอเกริ่นถึงระบบการศึกษาและค่านิยมในสังคมอินเดียก่อน เดี๋ยวไม่เข้าใจรายละเอียดบริบทในหนัง

“3 Idiots” หนังอินดี้แนว drama-comedyที่แสนจะมาแรงเรื่องนี้   ผกก.เค้าเอาพล็อตเรื่อง จากหนังสือขายดีตลอดกาลของ Chetan Bhagat เรื่อง “ Five Point Someone : What not to do at  IIT  ” ซึ่งตัวผู้เขียนเค้าก็เป็นศิษย์เก่าสถาบัน IIT (Indian Institutes of Technologyนี้แหละ สถาบันที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น MIT หรือ Harvard of India เพราะสถาบันนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาลัยทางเทคโนโลยีอันดับ3ของโลกเลยนะ  ด้วยความเป็นชั้นนำขนาดนี้  นักเรียนมันถึงได้แข่งขันกันเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะได้เข้าเรียน แข่งขันกันสูงแค่ไหนเหรอ  ก้อเล่นรับ นศ. แค่ปีละ200คนเอง แล้วเทียบกับประชากรอินเดียมากมายมหาศาลขนาดนั้น  หลายปีแล้ว ที่เคยอ่านข่าวรัฐบาลอินเดียเค้าประกาศจะทำให้อินเดียเป็น มหาอำนาจของโลกทาง ITให้ได้  ตอนนั้นยังคิดว่าเพ้อเจ้อ   เผลอแป๊บเดียว  ตอนนี้อินเดียไปไกลมากกว่าที่ทุกคนประเมินไว้หลายเท่า    ผู้บริหารบ้านเมืองเค้าช่วยกันพัฒนาชาติ แซงหน้าไทยไปอีกหนึ่งแล้ว

<       ด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาของอินเดียที่มุ่งหวังให้นักวิทยาศาสตร์ นักคอมพิวเตอร์ นักวิศวกรรม เป็นตัวแปรสำคัญในการดีดตัวเองให้ทัดเทียมประเทศมหาอำนาจ   ทำให้ทุกวันนี้ อินเดียผลิตแรงงานด้าน IT มากเป็นอันดับ2ของโลก ติด 1ใน 6 ประเทศที่มีเทคโนโลยีอวกาศชั้นสูง มีอุตสาหกรรมการผลิตยาที่ก้าวหน้าระดับโลก  โดยเฉพาะโปรแกรมเมอร์ระดับโลก ๆ ก็คนอินเดียทั้งนั้นแหละ… 38% ของจนท.ใน NASA เป็นคนอินเดีย, 34%  microsoft เป็นคนอินเดีย , 28% ของ IBM เป็นคนอินเดีย, 17% ของ Intel ก็เป็นคนอินเดีย เพราะที่อินเดียเค้ามีเปิดสอนเขียนโปรแกรมกันชนิดที่ว่าให้เป็น “เทพแห่งโปรแกรมเมอร์” เลย  ด้วยหลักสูตร computer application  เพราะอินเดียหมายมั่นปั้นมือกับตลาด outsourcing ด้านการผลิต 3D animation และ gameมานานแล้ว ตอนนี้  Sony, Nvidia, Yahoo…etc.  ย้ายยานแม่ไปลงที่อินเดียหมดแล้ว     ด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็แรงตามไปด้วย  มีการสร้างสตูดิโอผลิตหนังใหญ่สุดลูกหูลูกตาถึง 3 สตูดิโอ หนึ่งในนั้นมี สตูติโอที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย คืRamoji Film City  ขนาด 4พันกว่าไร่   การพัฒนาแบบก้าวกระโดดนี่แหละ  สังคมอินเดียเลยชอบให้ลูกหลาน “ลูกชายต้องเรียนวิศวะ & ลูกสาวต้องเรียนหมอ” ไม่งั้นจะไม่มีใครจะเอาไปเป็นคู่ครอง ไปเรียนอย่างอื่นเหรอถือว่าเป็นพวกเบอร์สอง จะเรียนล้ำยุคไฮเทคแค่ไหนก็ช่างเถอะ แต่ยังมีที่ให้ระบบการแบ่งชั้นวรรณะแทรกซึมเข้าไปได้อยู่ดี  ในระบบการศึกษาของอินเดียเอง เค้ามักจะเน้นท่องจำตำรา จำได้มากก็ได้เกรดดี ครูชอบให้ตอบตามตำรา ดังนั้น เด็กอินเดียเลยความจำดีมากกก  เพราะท่องจำกันเป็นบ้าเป็นหลังนี่เอง และด้วยการเรียนที่สุดกดดันนี้  ทำให้มีสถิติคนอินเดียฆ่าตัวตาย 15คน/ชม. เพราะทนความกดดันความคาดหวังของครอบครัวไม่ไหว   นับวันการแข่งขันดูจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ  
Capture-tile

หนัง 3 Idiots     เป็นเรื่องของเพื่อนรัก3คนที่เคยสัญญากันไว้สมัยเรียนว่า อีก10ปีข้างหน้า จะมาพบกันวันที่5 กันยา เพื่อดูว่าใครประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่ากัน …..แล้วหนังก็ตัดฉากย้อนกลับไปสมัยที่พวกเค้ายังเป็นนักศึกษาวิศวะในมหาลัยที่เข้ายากที่สุดในอินเดีย (น่าจะหมายถึงIITแหละ แต่ในหนังเค้าเปลี่ยนชื่อ)  Rancho(พระเอก)เป็นคนที่ชอบประกอบข้าวของ เครื่องกล เป็นตัวแทนนักเรียนประเภทหัวมาทางนี้อยู่แล้ว เรียนตามปรกติไม่ถึงกับต้องแข่งขันกับใคร ใช้ชีวิตในมหาลัยสุดเหวี่ยงก้อยังได้topเพราะหัวมันให้ นักแสดงที่มารับบทranchoนี่ก็เรียกได้ว่าเป็นดาราไอดอลของอินเดีย ประมาณ พี่เคน ธีรเดช บ้านเรา นอกเหนือจากเป็นนักแสดงแล้ว Aamir Khan ยังเป็นโปรดิวเซอร์สร้างหนังที่ฮายิ่งกว่า3 idiots เรื่อPeepli Live” (อ่านรีวิว  Peepli Live  ) 

เพื่อนสนิทคนที่2 คือ Raju เป็นคนยากจน ดั้นด้นสอบเข้าวิศวะเพราะอยากให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น จะได้มีเงินรักษาพ่อที่ป่วย และให้น้องสาวไปสู่ขอผู้ชายดีๆ คนที่3 คือ Fahan ชอบถ่ายรูป แต่พ่อบังคับให้เรียนวิศวะ ช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัย ทั้งสามคนต้องเจออุปสรรคมากมายแต่ก็มีเรื่องสนุกสนานในรั้วมหาลัยมากมายเช่นกัน Rancho พระเอก ออกแนวหัวแข็งแต่มีหัวคิด แน่นอนว่าบรรดาอาจารย์หัวเก่าย่อมแอนตี้Rancho มีอยู่หลายฉากที่แสดงให้เห็นระบบการสอนที่ผิดพลาด คือตอนที่อาจารย์ถามทุกคนในคลาสว่า ” M-A-C-H-I-N-E ” คืออะไร Rancho ตอบว่า สิ่งที่ทำให้ชีวิตมนุษย์ง่ายขึ้น เช่นซิป เพราะมีซิปเราเลยไม่ต้องถอดกางเกงเวลาฉี่ แค่รูดซิปขึ้นลง ว่าแล้วพี่แกก้อรูดซิปโชว์ซะงั้น professor บอกว่า ถ้าอยากตอบง่ายๆ ก็ไปเรียนสายอาชีพไป๊ แล้วก้อไล่Ranchoออกจากห้องเรียน  Ranchoเดินออกไปแล้วเข้ามาใหม่ บอกว่า

ผมลืมหยิบ... Instruments that record analyse summarize organize debate and explain information which are illustrative non-illustrative hardbound paperback jacketed non-jacketed with forward introduction, table of contents, index that are indented for the enlightenment, understanding enrichment enhancement and education of the human brain through sensory root of vision… sometimes leisure…ครับ

Professor (งงเป็นไก่ตาแตก)  : แปลว่าอะไร??

Rancho  : book

Professor : แล้วทำไมไม่พูดว่าbook จะพูดให้ฟังยากทำไม?

Rancho :  ก้อพูดง่ายๆแล้ว อาจารย์ไม่ถูกใจนี่ครับ..  55+

 ฉากที่ professorสั่งให้ออกมาสอนแทน  เขา เขียนคำๆนึงบนกระดานแล้วให้เวลาทุกคน1นาทีให้หาความหมายของคำ ทุกคนก้อหน้าก้มตาหาคำตอบในตำรากันใหญ่เลย สุดท้ายหาไม่เจอ เค้าเลยเฉลยว่า มันเป็นชื่อของอิเพื่อนสองคน RajuกับFahanที่ซ่อนอยู่ในคำนั้น Professorโมโหมากถามว่านี่เหรอคือเนื้อหาวิชาวิศวะ Rachoตอบว่า” ผมไม่ได้สอนวิชาวิศวะ”  ผมสอน “วิธีการสอน ” 

….. ถ้าเรามัวแต่ท่องจำสิ่งที่คนอื่นคิดค้นไว้แล้วเพียงอย่างเดียว.. เราจะเก่งได้ยังไง ?

เพราะคนที่ฉลาดจนเกรดถึงเกียรตินิยมเอง กับ คนที่พยายามทุกอย่างเพื่อให้เกรดแตะถึงระดับเกียรตินิยม นั้นไม่เหมือนกัน นักเรียนประเภทรีบเลือกโจทย์ง่ายก่อนใครๆเพื่อจะได้ A วิชานั้น อย่างนาย Silencer (ในหนัง) ยากที่จะคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากศูนย์ ได้ ไม่ได้บอกว่าควรทิ้งหนังสือ การอ่านหนังสือคือวิธีการที่ดีในการติดอาวุธทางปัญญาอยู่แล้ว แต่เราไม่สามารถฉลาดขึ้นได้ด้วยการอ่านจากตำราอย่างเดียว เราต้องฝึกคิด ฝึกตั้งคำถามเอาเองบ้างและเรียนรู้โลกนอกวิชาการด้วย ไม่ว่าคุณจะเรียนรู้ด้วยการท่องคำตอบฉลาดๆของคนอื่นแค่ไหนก็ไม่สู้การสร้างคำถามฉลาดๆด้วยตัวเองได้ เพราะคำถามที่ฉลาดสามารถทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญาได้แม้ไม่มีคำตอบ….อย่าหวั่นไหว ถ้าคนอื่นหัวเราะเยาะเย้ย ตลกกับความคิดแปลกๆของคุณ แต่จงถามเขาว่า ทุกอย่างที่พวกเขาใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น มือถือ คอมพิวเตอร์ ATM รถยนต์ สวิทซ์เปิดปิดไฟ ตู้เย็นมันก็มาจากคนคิดนอกกรอบทั้งนั้นงั้นคนที่ใช้ของจากสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นไม่บ้ากว่าหรือค่านิยมสอบได้เลขตัวเดียว ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสังคมไทย เมื่อ Rancho เอ่ยปากถามเพื่อนอย่างคนมองโลกขาดว่า …. If you win,Will your knowledge increase? ….No,  just the pressure ”  

ฉากเต้นของพระเอกกับนางเอกน่ารักดี ที่ล้อเลียนท่าเต้นในหนังอินเดียสมัยเชยๆ เอามาแปลงเป็นท่าเต้นแนวๆ แต่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของหนังแขก แต่ขอหักคะแนน2เรื่องคือ จะพูดฮินดูคำ อังกฤษคำไปทำไม เอาซักอย่างไม่ได้เหรอ นี่พูดอังกฤษคำนึง แล้วพูดฮินดูสาดมา3-4ประโยค ซับeng ก้อ มีบ้างไม่มีบ้าง (อันที่จริง หนังทำขายต่างประเทศแบบนี้น่าจะทำsubให้ได้มาตรฐานเหมือนหนังเรื่อง The Pool ที่ถอดบทพูดฮินดูออกมาเป็นsubอังกฤษได้อย่างไม่บกพร่อง)  ตกม้าตายนิดหน่อยกับฉากที่RanchoถามProfessorเรื่องปากกาพิเศษสำหรับเขียนบนดวงจันทร์ ว่า “ ถ้ามันลำบากนัก ทำไมไม่ใช้ดินสอล่ะครับ”….(แอบหักคะแนน สำหรับมุขเชยอันนี้นิ๊ดดนึง)

 

ดูตัวอย่างหนัง

 

 

Published : Feb 29, 2012

ภัทราวดี ทนาลักษณ์

อ่านหนังอิเดีย อิหร่าน สนุกๆ   >>  The Apple          The Pool          Peepli Live     The Kite Runner

<
< ภัทราวดี ทนาลักษณ์

<

Share Button